วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ความแตกต่างทางโครงสร้างของภาษาไทยกับภาษาอังกฤษที่มีผลต่อการแปล

ความแตกต่างทางโครงสร้างของภาษาไทยกับภาษาอังกฤษที่มีผลต่อการแปล
                โครงสร้าง “structure” เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเรียนรู้ภาษาหรือการใช้ภาษา เราพูดที่เป็นประโยคที่มีใจความสมบูรณ์และสื่อสารกันรู้เรื่องเพราะเรารู้หรือเข้าใจโครงสร้างภาษา  โครงสร้างเป็นสิ่งกำหนดที่ทำให้เราสื่อสารกันรู้เรื่องในการใช้ภาษาใดก็ตาม ถ้าเราไม่รู้หรือไม่เข้าใจโครงสร้างของภาษาเราก็จะล้มเลวในการสื่อสารและพูดหรือเขียนให้คนอื่นเข้าใจไม่ได้
                ในการแปล ปัญหาที่สำคัญนั้นคือ ปัญหาทางโครงสร้าง การที่เรารู้คำศัพท์แต่ละคำในประโยคแต่ถ้าหากเราไม่เข้าใจความสัมพันธ์ของศัพท์เหล่านั้นเราก็อาจจะล้มเหลวได้ เพราะอาจตีความผิดหรือถ่ายทอดเป็นภาษาเป้าหมายที่ผิดได้
                จะเห็นได้ว่าผู้แปลจะสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาเกี่ยวกับโครงสร้างของประโยคได้โดยจะเปรียบเทียบให้เห็นประเภทของไวยากรณ์ที่สำคัญและโครงสร้างของประโยคต่างๆในการใช้ภาษาไทยและภาษาอังกฤษเพื่อให้สามารถนำไปใช้เป็นหลักหรือเป็นแนวทางในการไปในอนาคตได้

1.ชนิดของคำและประเภททางไวยากรณ์ที่สำคัญ
                ชนิดของคำ  parts of speech เป็นสิ่งสำคัญในโครงสร้าง  เพราะเมื่อเราสร้างประโยคเราต้องนำคำมาเรียงร้อยกันให้เกิดความหมายที่ต้องการสื่อสารประโยคถูกไวยากรณ์เมื่อเราใช้ชนิดของคำตรงกับหน้าที่ไวยากรณ์
                ประเภททางไวยากรณ์ (grammatical category)     ลักษณะสำคัญในไวยากรณ์ของภาษาใดภาษาหนึ่ง ซึ่งมักสัมพันธ์กับชนิดของคำและไม่สำคัญเลยในอีกภาษาหนึ่งก็ได้ เช่น พจน์ เป็นสิ่งสำคัญมากในภาษาอังกฤษ ผู้พูดจะต้องคำนึงถึงพจน์ก่อนเสมอเมื่อจะใช้คำนามนับได้
1.1       คำนาม
ประเภททางไวยากรณ์ที่เป็นลักษณะสำคัญหรือลักษณะที่มีตัวบ่งชี้ marker ในภาษาอังกฤษแต่เป็น
ลักษณะที่ไม่สำคัญหรือไม่มีตัวบ่งชี้ในภาษาไทย
1.1.1                   บุรุษ person เป็นประเภททางไวยากรณ์ที่บ่งบอกว่าคำนามหรือสรรพนามที่นำมาใช้ประโยคหมายถึงผู้พูด ผู้ที่ถูกพูดด้วย หรือผู้ที่ถูกพูดถึง  ภาษาอังกฤษแยกรูปสรรพนามตามบุรุษที่ 1 2 และ 3 อย่างชัดเจน นอกจากนี้ ภาษาอังกฤษยังมีการเติม s  ที่กริยาของประธานที่เป็นบุรุษที่ 3 เอกพจน์บุรุษอื่นไม่มีการเติม     ภาษาไทย ไม่แยกเด่นชัดเพราะบางคำก็ใช้ได้หลายบุรุษสำหรับภาษาไทยนั้นไม่มีการแสดงความต่างเช่นนี้
1.1.2                   พจน์ ( number ) พจน์ เป็นประเภททางไวยากรณ์ที่บ่งบอกจำนวน ว่าเป็นจำนวนเพียงหรือจำนวนมากกว่าหนึ่ง  ภาษาอังกฤษมีการแบ่งพจน์โดยใช้ตัวกำหนด a/an นำหน้าคำนามเอกพจน์เท่านั้นและแสดงพหูพจน์โดยการเติมหน่อยท้ายศัพท์ –s   ภาษาไทยไม่มีการแยกสรรพสิ่งตามจำนวน
1.1.3                    การก (case ) เป็นตัวบ่งชี้คำนามนั้นๆว่ามีบทบาทอะไร คือ สัมพันธ์กับคำอื่นในประโยคอย่างไรภาษาอังกฤษ การกของคำนามมักแสดงด้วยการเรียงคำ การกเจ้าของภาษาอังกฤษแสดงโดยการเติม –s ที่หลังคำนาม    ภาษาไทยไม่มีการเติมหน่วยท้ายคำ แต่มีการเรียงคำที่ต่างจากภาษาอังกฤษ
1.1.4                   นานนับได้ กับ นามนับไม่ได้ (countable and uncountable nouns)
ในภาษาอังกฤษแยกความแตกต่างระหว่างคำนามกับคำนาม โดยการใช้ ตัวกำหนด a/an กับนามนับได้ที่เป็นเอกพจน์ และเติม –s ที่นามนับได้พหูพจน์ ส่วนนามนับไม่ได้ต้องไม่ใช้ a/an และต้องไม่เติม –s   มีการใช้หน่อยบอกปริมาณหรือปริมาตรกับคำนามที่นับไม่ได้ทำให้เป็นหน่อยเหมือนนับได้  ในภาษาไทยคำนามทุกคำนับได้  เพราะมีลักษณะนามบอกจำนวนของทุกสิ่งได้
1.1.5   ความชี้เฉพาะ ( definiteness ) การแยกความแตกต่างระหว่างนามชี้เฉพาะกับนามไม่ชี้เฉพาะ ตัวที่บ่งชี้ความชี้เฉพาะคือตัวกำหนด ได้แก่ a/an ซึ่งบ่งความไม่ชี้เฉพาะ และ the ซึ่งบ่งความชี้เฉพาะ  ผู้พูดภาษาอังกฤษต้องหัดแยกแยะตั้งแต่เริ่มพูด   ผู้พูดภาษาไทยไม่มีการแยกความแตกต่าง
1.2  คำกริยา
                         เป็นหัวใจของประโยค การใช้กริยาซับซ้อนกว่าการใช้คำนาม เพราะมีประเภททางไวยากรณ์ต่างๆเข้ามาเกี่ยวข้องหลายประเภท
1.2.1      กาล( tense )
                คำกริยาในภาษาอังกฤษต้องแสดงกาลเสมอ ทั้งอดีตและปัจจุปัน
-      ภาษาไทยไม่ถือว่ากาลเป็นเรื่องสำคัญ
1.2.2      การณ์ลักษณะ(aspect) คือลักษณะของการกระทำ หรือเหตุการณ์
-              ในภาษาอังกฤษ ได้แก่ การณ์ลักษณะต่อเนื่อง หรือการณ์ลักษณะดำเนินอยู่และการณ์ลักษณะเสร็จสิ้น
-              ในภาษาไทยจะมีคำว่า กำลัง อยู่ แล้ว ในการแสดงการณ์ลักษณะนี้
1.2.3      มาลา(mood) คือประเภททางไวยากรณ์ที่ใช้กับกริยา มีหน้าที่แสดงว่าผู้พูดมีทัศนคติต่อเหตุการณ์หรือเรื่องที่พูดอย่างไร
มีมาลาในภาษาอังกฤษ
ไม่มีมาลาในภาษาไทย
1.2.4      วาจก(voice) เป็นตัวบ่งชี้ความสัมพันธ์ระหว่างประธานกับการกระทำที่แสดงโดยคำกริยาว่าประธานเป็นผู้กระทำ หรือประธานเป็นผู้ถูกกระทำ ในภาษาอังกฤษ ประโยคส่วนใหญ่จะมีกริยาเป็นกรรตุวาจก
ในภาษาไทย คำกริยาไม่มีการเปลี่ยนรูปในตัวของมันเอง
กริยาแท้กับกริยาไม่แท้ (finite vs. non-finite)
ภาษาอังกฤษมีกริยาแท้ได้เพียงตัวเดียวเท่านั้น
                ภาษาไทย กริยาทุกตัวไม่มีการแสดงรูปที่ต่างกัน

1.3      ชนิดของคำประเภทอื่น
ชนิดของคำประเภทอื่นนอกจากคำนามกับคำกริยามีความซับซ้อนน้อยกว่านามและกริยา และไม่ก่อให้เกิดปัญหาในการแปลมากเท่านามกับกริยา
-              คำบุพบทในภาษาอังกฤษสามารถห้อยท้ายวลีหรือประโยคได้
-              ภาษาไทยไม่มีโครงสร้างแบบนี้
2. หน่วยสร้างที่ต่างกันในภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
        หน่วยสร้าง  (construction) หน่วยทางภาษาที่มีโครงสร้าง หน่วยสร้างในภาษาอังกฤษและภาษาไทยไทยต่างกัน
2.1 หน่วยสร้างนามวลี: ตัวกำหนด (Determiner) + นาม (อังกฤษ) Vs. นาม (ไทย)
                - นามวลีในภาษาอังกฤษต้องมีตัวกำหนดอยู่หน้านามเสมอ
                - นามวลีในภาษาไทยไม่มีตัวกำหนดแบบภาษาอังกฤษแต่มีตัวบ่งชี้
                2.2 หน่วยสร้างนามวลี: ส่วนขยาย + ส่วนหลัก (อังกฤษ) Vs. ส่วนหลัก + ส่วนขยาย (ไทย)
                - ภาษาอังกฤษวางส่วนขยายไว้ข้างหน้าส่วนหลัก
                - ภาษาไทยวางส่วยขยายไว้หลังส่วนหลัก
                2.3 หน่วยสร้างกรรมวาจก (passive constructions)
                - ภาษาอังกฤษหน่วยสร้างกรรมวาจกมีรูปแบบเดียวที่เด่นชัด
                - ภาษาไทยหน่วยสร้างกรรมวาจกมีหลายรูปแบบ
กริยาที่เกี่ยวกับอารมณ์ ความรู้สึก ภาษาไทยมักเป็นกรรตุวาจก เช่นสนใจ ตื่นเต้น ส่วนในภาษาอังกฤษเป็นกรรมวาจก
                2.4หน่วยสร้างประโยคเน้น subject (อังกฤษ) กับ ประโยคเน้น topic (ไทย)
                2.5หน่วยสร้างกริยาเรียงในภาษาไทย (serial verb constructon) หน่วยสร้างในภาษาไทยที่ไม่มีในภาษาอังกฤษและมักเป็นปัญหาในการแปล

3 .สรุป
        3.1 เรื่องชนิดของคำ(ปัญหาเกิดจากการที่ภาษาหนึ่งมีชนิดของคำบางประเภทแต่อีกภาษาไม่มี)
ภาษาอังกฤษมีตัวกำหนด(determiner)นาม(noun)กริยา(verb)คุณศัพท์วิเศษ(adverb)บุพบท(preposition)และสันธาน(conjunction)ไม่มีลักษณะนาม(classifier)และคำลงท้าย(final particle)
ภาษาไทยมีชนิดของคำทุกประเภทเหมือนภาษาอังกฤษยกเว้นคุณศัพท์และมีชนิดที่ไม่มีในภาษาอังกฤษได้แก่ลักษณะนามและคำลงท้าย
3.2 เรื่องประเภททางไวยากรณ์
สำหรับคำนามภาษาไทยไม่มีการบ่งชี้บุรุษพจน์การนับได้นับไม่ได้ชี้เฉพาะแปลภาษาอังกฤษมีการบ่งชี้ที่ชัดเจนสำหรับคำกิริยาภาษาไทยไม่มีการบ่งชี้การมาลาวาจกกิริยาแท้ไม่แท้แปลภาษาอังกฤษมีการบ่งชี้ที่ชัดเจนในการแปลภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษผู้แปลจึงควรสำเหนียกความแตกต่างในเรื่องนี้เป็นพิเศษ
3.3 เรื่องหน่วยสร้างหรือรูปประโยค
     นามวลี นำมารีในภาษาอังกฤษมีตัวกำหนดแบบบังคับแต่ในภาษาไทยตัวกำหนดจะมีหรือไม่มีก็ได้. 
     การวางส่วนขยายในนามวลีมีความแตกต่าง อย่างตรงข้ามกันระหว่างภาษาไทยกับภาษาอังกฤษ
     หน่วยสร้างกรรมวาจกภาษาอังกฤษมีรูปแบบชัดเจนแปลในภาษาไทยมีหลายรูปแบบและไม่จำเป็นที่จะต้องแปลงหน่วยสร้างกรรมวาจกภาษาอังกฤษเป็นกรรมวาจกภาษาไทยเสมอไป
ประโยคนี้ประธานกับประโยคนี้เป็นเรื่องประโยคในภาษาอังกฤษต้องมีประธานเสมอแต่ประโยคในภาษาไทยไม่จำเป็นต้องมีประธานและประโยคส่วนมากมักขึ้นต้นด้วยเรื่อง
หน่วยสร้างกิริยาเรียง--มีในภาษาไทยแต่ไม่มีในภาษาอังกฤษ

ข้อสรุปสุดท้ายคือหากผู้แปลตระหนักในความสำคัญของความแตกต่างทางโครงสร้างในภาษาไทยและภาษาอังกฤษดังแสดงมาข้างต้นผู้แปลจะมีปัญหาในการแปลน้อยลงและผลงาน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ความแตกต่างทางโครงสร้างของภาษาไทยกับภาษาอังกฤษที่มีผลต่อการแปล

ความแตกต่างทางโครงสร้างของภาษาไทยกับภาษาอังกฤษที่มีผลต่อการแปล
                โครงสร้าง “structure” เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเรียนรู้ภาษาหรือการใช้ภาษา เราพูดที่เป็นประโยคที่มีใจความสมบูรณ์และสื่อสารกันรู้เรื่องเพราะเรารู้หรือเข้าใจโครงสร้างภาษา  โครงสร้างเป็นสิ่งกำหนดที่ทำให้เราสื่อสารกันรู้เรื่องในการใช้ภาษาใดก็ตาม ถ้าเราไม่รู้หรือไม่เข้าใจโครงสร้างของภาษาเราก็จะล้มเลวในการสื่อสารและพูดหรือเขียนให้คนอื่นเข้าใจไม่ได้
                ในการแปล ปัญหาที่สำคัญนั้นคือ ปัญหาทางโครงสร้าง การที่เรารู้คำศัพท์แต่ละคำในประโยคแต่ถ้าหากเราไม่เข้าใจความสัมพันธ์ของศัพท์เหล่านั้นเราก็อาจจะล้มเหลวได้ เพราะอาจตีความผิดหรือถ่ายทอดเป็นภาษาเป้าหมายที่ผิดได้
                จะเห็นได้ว่าผู้แปลจะสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาเกี่ยวกับโครงสร้างของประโยคได้โดยจะเปรียบเทียบให้เห็นประเภทของไวยากรณ์ที่สำคัญและโครงสร้างของประโยคต่างๆในการใช้ภาษาไทยและภาษาอังกฤษเพื่อให้สามารถนำไปใช้เป็นหลักหรือเป็นแนวทางในการไปในอนาคตได้

1.ชนิดของคำและประเภททางไวยากรณ์ที่สำคัญ
                ชนิดของคำ  parts of speech เป็นสิ่งสำคัญในโครงสร้าง  เพราะเมื่อเราสร้างประโยคเราต้องนำคำมาเรียงร้อยกันให้เกิดความหมายที่ต้องการสื่อสารประโยคถูกไวยากรณ์เมื่อเราใช้ชนิดของคำตรงกับหน้าที่ไวยากรณ์
                ประเภททางไวยากรณ์ (grammatical category)     ลักษณะสำคัญในไวยากรณ์ของภาษาใดภาษาหนึ่ง ซึ่งมักสัมพันธ์กับชนิดของคำและไม่สำคัญเลยในอีกภาษาหนึ่งก็ได้ เช่น พจน์ เป็นสิ่งสำคัญมากในภาษาอังกฤษ ผู้พูดจะต้องคำนึงถึงพจน์ก่อนเสมอเมื่อจะใช้คำนามนับได้
1.1       คำนาม
ประเภททางไวยากรณ์ที่เป็นลักษณะสำคัญหรือลักษณะที่มีตัวบ่งชี้ marker ในภาษาอังกฤษแต่เป็น
ลักษณะที่ไม่สำคัญหรือไม่มีตัวบ่งชี้ในภาษาไทย
1.1.1                   บุรุษ person เป็นประเภททางไวยากรณ์ที่บ่งบอกว่าคำนามหรือสรรพนามที่นำมาใช้ประโยคหมายถึงผู้พูด ผู้ที่ถูกพูดด้วย หรือผู้ที่ถูกพูดถึง  ภาษาอังกฤษแยกรูปสรรพนามตามบุรุษที่ 1 2 และ 3 อย่างชัดเจน นอกจากนี้ ภาษาอังกฤษยังมีการเติม s  ที่กริยาของประธานที่เป็นบุรุษที่ 3 เอกพจน์บุรุษอื่นไม่มีการเติม     ภาษาไทย ไม่แยกเด่นชัดเพราะบางคำก็ใช้ได้หลายบุรุษสำหรับภาษาไทยนั้นไม่มีการแสดงความต่างเช่นนี้
1.1.2                   พจน์ ( number ) พจน์ เป็นประเภททางไวยากรณ์ที่บ่งบอกจำนวน ว่าเป็นจำนวนเพียงหรือจำนวนมากกว่าหนึ่ง  ภาษาอังกฤษมีการแบ่งพจน์โดยใช้ตัวกำหนด a/an นำหน้าคำนามเอกพจน์เท่านั้นและแสดงพหูพจน์โดยการเติมหน่อยท้ายศัพท์ –s   ภาษาไทยไม่มีการแยกสรรพสิ่งตามจำนวน
1.1.3                    การก (case ) เป็นตัวบ่งชี้คำนามนั้นๆว่ามีบทบาทอะไร คือ สัมพันธ์กับคำอื่นในประโยคอย่างไรภาษาอังกฤษ การกของคำนามมักแสดงด้วยการเรียงคำ การกเจ้าของภาษาอังกฤษแสดงโดยการเติม –s ที่หลังคำนาม    ภาษาไทยไม่มีการเติมหน่วยท้ายคำ แต่มีการเรียงคำที่ต่างจากภาษาอังกฤษ
1.1.4                   นานนับได้ กับ นามนับไม่ได้ (countable and uncountable nouns)
ในภาษาอังกฤษแยกความแตกต่างระหว่างคำนามกับคำนาม โดยการใช้ ตัวกำหนด a/an กับนามนับได้ที่เป็นเอกพจน์ และเติม –s ที่นามนับได้พหูพจน์ ส่วนนามนับไม่ได้ต้องไม่ใช้ a/an และต้องไม่เติม –s   มีการใช้หน่อยบอกปริมาณหรือปริมาตรกับคำนามที่นับไม่ได้ทำให้เป็นหน่อยเหมือนนับได้  ในภาษาไทยคำนามทุกคำนับได้  เพราะมีลักษณะนามบอกจำนวนของทุกสิ่งได้
1.1.5   ความชี้เฉพาะ ( definiteness ) การแยกความแตกต่างระหว่างนามชี้เฉพาะกับนามไม่ชี้เฉพาะ ตัวที่บ่งชี้ความชี้เฉพาะคือตัวกำหนด ได้แก่ a/an ซึ่งบ่งความไม่ชี้เฉพาะ และ the ซึ่งบ่งความชี้เฉพาะ  ผู้พูดภาษาอังกฤษต้องหัดแยกแยะตั้งแต่เริ่มพูด   ผู้พูดภาษาไทยไม่มีการแยกความแตกต่าง
1.2  คำกริยา
                         เป็นหัวใจของประโยค การใช้กริยาซับซ้อนกว่าการใช้คำนาม เพราะมีประเภททางไวยากรณ์ต่างๆเข้ามาเกี่ยวข้องหลายประเภท
1.2.1      กาล( tense )
                คำกริยาในภาษาอังกฤษต้องแสดงกาลเสมอ ทั้งอดีตและปัจจุปัน
-      ภาษาไทยไม่ถือว่ากาลเป็นเรื่องสำคัญ
1.2.2      การณ์ลักษณะ(aspect) คือลักษณะของการกระทำ หรือเหตุการณ์
-              ในภาษาอังกฤษ ได้แก่ การณ์ลักษณะต่อเนื่อง หรือการณ์ลักษณะดำเนินอยู่และการณ์ลักษณะเสร็จสิ้น
-              ในภาษาไทยจะมีคำว่า กำลัง อยู่ แล้ว ในการแสดงการณ์ลักษณะนี้
1.2.3      มาลา(mood) คือประเภททางไวยากรณ์ที่ใช้กับกริยา มีหน้าที่แสดงว่าผู้พูดมีทัศนคติต่อเหตุการณ์หรือเรื่องที่พูดอย่างไร
มีมาลาในภาษาอังกฤษ
ไม่มีมาลาในภาษาไทย
1.2.4      วาจก(voice) เป็นตัวบ่งชี้ความสัมพันธ์ระหว่างประธานกับการกระทำที่แสดงโดยคำกริยาว่าประธานเป็นผู้กระทำ หรือประธานเป็นผู้ถูกกระทำ ในภาษาอังกฤษ ประโยคส่วนใหญ่จะมีกริยาเป็นกรรตุวาจก
ในภาษาไทย คำกริยาไม่มีการเปลี่ยนรูปในตัวของมันเอง
กริยาแท้กับกริยาไม่แท้ (finite vs. non-finite)
ภาษาอังกฤษมีกริยาแท้ได้เพียงตัวเดียวเท่านั้น
                ภาษาไทย กริยาทุกตัวไม่มีการแสดงรูปที่ต่างกัน

1.3      ชนิดของคำประเภทอื่น
ชนิดของคำประเภทอื่นนอกจากคำนามกับคำกริยามีความซับซ้อนน้อยกว่านามและกริยา และไม่ก่อให้เกิดปัญหาในการแปลมากเท่านามกับกริยา
-              คำบุพบทในภาษาอังกฤษสามารถห้อยท้ายวลีหรือประโยคได้
-              ภาษาไทยไม่มีโครงสร้างแบบนี้
2. หน่วยสร้างที่ต่างกันในภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
        หน่วยสร้าง  (construction) หน่วยทางภาษาที่มีโครงสร้าง หน่วยสร้างในภาษาอังกฤษและภาษาไทยไทยต่างกัน
2.1 หน่วยสร้างนามวลี: ตัวกำหนด (Determiner) + นาม (อังกฤษ) Vs. นาม (ไทย)
                - นามวลีในภาษาอังกฤษต้องมีตัวกำหนดอยู่หน้านามเสมอ
                - นามวลีในภาษาไทยไม่มีตัวกำหนดแบบภาษาอังกฤษแต่มีตัวบ่งชี้
                2.2 หน่วยสร้างนามวลี: ส่วนขยาย + ส่วนหลัก (อังกฤษ) Vs. ส่วนหลัก + ส่วนขยาย (ไทย)
                - ภาษาอังกฤษวางส่วนขยายไว้ข้างหน้าส่วนหลัก
                - ภาษาไทยวางส่วยขยายไว้หลังส่วนหลัก
                2.3 หน่วยสร้างกรรมวาจก (passive constructions)
                - ภาษาอังกฤษหน่วยสร้างกรรมวาจกมีรูปแบบเดียวที่เด่นชัด
                - ภาษาไทยหน่วยสร้างกรรมวาจกมีหลายรูปแบบ
กริยาที่เกี่ยวกับอารมณ์ ความรู้สึก ภาษาไทยมักเป็นกรรตุวาจก เช่นสนใจ ตื่นเต้น ส่วนในภาษาอังกฤษเป็นกรรมวาจก
                2.4หน่วยสร้างประโยคเน้น subject (อังกฤษ) กับ ประโยคเน้น topic (ไทย)
                2.5หน่วยสร้างกริยาเรียงในภาษาไทย (serial verb constructon) หน่วยสร้างในภาษาไทยที่ไม่มีในภาษาอังกฤษและมักเป็นปัญหาในการแปล

3 .สรุป
        3.1 เรื่องชนิดของคำ(ปัญหาเกิดจากการที่ภาษาหนึ่งมีชนิดของคำบางประเภทแต่อีกภาษาไม่มี)
ภาษาอังกฤษมีตัวกำหนด(determiner)นาม(noun)กริยา(verb)คุณศัพท์วิเศษ(adverb)บุพบท(preposition)และสันธาน(conjunction)ไม่มีลักษณะนาม(classifier)และคำลงท้าย(final particle)
ภาษาไทยมีชนิดของคำทุกประเภทเหมือนภาษาอังกฤษยกเว้นคุณศัพท์และมีชนิดที่ไม่มีในภาษาอังกฤษได้แก่ลักษณะนามและคำลงท้าย
3.2 เรื่องประเภททางไวยากรณ์
สำหรับคำนามภาษาไทยไม่มีการบ่งชี้บุรุษพจน์การนับได้นับไม่ได้ชี้เฉพาะแปลภาษาอังกฤษมีการบ่งชี้ที่ชัดเจนสำหรับคำกิริยาภาษาไทยไม่มีการบ่งชี้การมาลาวาจกกิริยาแท้ไม่แท้แปลภาษาอังกฤษมีการบ่งชี้ที่ชัดเจนในการแปลภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษผู้แปลจึงควรสำเหนียกความแตกต่างในเรื่องนี้เป็นพิเศษ
3.3 เรื่องหน่วยสร้างหรือรูปประโยค
     นามวลี นำมารีในภาษาอังกฤษมีตัวกำหนดแบบบังคับแต่ในภาษาไทยตัวกำหนดจะมีหรือไม่มีก็ได้. 
     การวางส่วนขยายในนามวลีมีความแตกต่าง อย่างตรงข้ามกันระหว่างภาษาไทยกับภาษาอังกฤษ
     หน่วยสร้างกรรมวาจกภาษาอังกฤษมีรูปแบบชัดเจนแปลในภาษาไทยมีหลายรูปแบบและไม่จำเป็นที่จะต้องแปลงหน่วยสร้างกรรมวาจกภาษาอังกฤษเป็นกรรมวาจกภาษาไทยเสมอไป
ประโยคนี้ประธานกับประโยคนี้เป็นเรื่องประโยคในภาษาอังกฤษต้องมีประธานเสมอแต่ประโยคในภาษาไทยไม่จำเป็นต้องมีประธานและประโยคส่วนมากมักขึ้นต้นด้วยเรื่อง
หน่วยสร้างกิริยาเรียง--มีในภาษาไทยแต่ไม่มีในภาษาอังกฤษ

ข้อสรุปสุดท้ายคือหากผู้แปลตระหนักในความสำคัญของความแตกต่างทางโครงสร้างในภาษาไทยและภาษาอังกฤษดังแสดงมาข้างต้นผู้แปลจะมีปัญหาในการแปลน้อยลงและผลงาน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น