วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2558

Learning Log 4
การเรียนรู้นอกชั้นเรียน
                การเรียนนอกชั้นเรียนในสัปดาห์นี้เป็นการหาความรู้เพิ่มเติมที่เราสามรถนำความรู้ที่ได้มาต่อยอดในการศึกษาและเป็นประโยชน์ต่อการเรียนวิชาการแปลซึ่งในสัปดาห์นี้เป็นการทบทวนกริยา 3 ช่อง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องtense ที่มีการเปลี่ยนรูป Verb ไปตามช่วงเวลาต่างๆ ดังนั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้เรียนภาษา จำเป็นต้องรู้และเข้าใจ Verb ในช่องต่าง และหลักการวิธีการใช้เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับการเรียนวิชาการแปล
                กริยา 3 ช่องคือคำกริยาในภาษาอังกฤษ ซึ่งแบ่งออกเป็น3 ช่อง บ่งบอกถึงเหตุการณ์ในแต่ละช่วงเวลาได้อีกด้วย,คำที่ใช้แสดงถึงอาการเหตุและช่วงเวลา คือคำพูดที่แสดงการกระทำของประธานในประโยคหรือคำที่ทำหน้าที่ช่วยverb หากประโยคขาดverb ความหมายอาจจะผิดเพี้ยนและไม่สามารถทราบเหตุการณ์อดีต หรือปัจจุบัน หรืออนาคตได้เลย เพราะเป็นประโยคที่ไม่สมบูรณ์ คำกริยาแงออกเป็น 3 ชนิด คือ 1 สหกรรมกริยา Transitive Verb คือ คำกริยาที่ต้องการกรรม ถ้าเกิดไม่มีคำอื่นเข้ามาความหมายจะไม่สมบูรณ์, 2 อกรรมกริยา Intransitive Verb คือ คำกริยาที่ไม่ต้องมีกรรม เพราะความหมายจะสมบูรณ์อยู่แล้ว
, 3.กริยาช่วย Helping verb  คือ กริยาที่มีหน้าที่ช่วยกริยาด้วยกันและยังทำให้ตัวของตัวเองมีความหมายสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
                กริยา 3 ช่อง คือ คำกริยาในภาษาอังกฤษ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ช่องบ่งบอกถึง เหตุการณ์ในแต่ละช่วงเวลาได้อีกด้วย ดังนี้ กริยาช่องที่1 คือ ปัจจุบัน, กริยาช่องที่2 คือ อดีต และกริยาช่องที่ 3 คือคำกริยาที่ใช้ใน Perfect tense ทุกชนิดและPassive voice  ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่มี tense คือมีการผันคำในประโยคตามเวลาของเหตุการณ์ที่พูดถึง แตกต่างจากภาษาไทยที่ไม่เปลี่ยนตัวกริยาหลักของประโยค แต่ใช้ลักษณะของการเพิ่มคำเข้าไปหรือเปลี่ยนคำวิเศษณ์ขยายเพียงอย่างเดียว เพื่อบอกลายละเอียดของเวลาที่เหตุการณ์ที่กล่าวถึงนั้นเกิดขึ้น verb มีการผันแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ หรือเรียกว่า กริยา3 โดยการผันรูปของกริยาช่องที่1 ไปเป็นช่อง 2และช่อง 3 แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ดังนี้ Regular verb กริยาผันด้วยการมีรูป –ed ต่อท้าย(ผันแบบปกติ):เติม –ed ท้ายกริยาช่องที่1 ,กริยาที่ลงท้าย e เติม –d ไปท้ายกริยาช่อง1 (ลงท้าย ed) ,กริยาที่ลงท้ายด้วย y ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม –ed * ยกเว้นหน้า y เป็นสระ (a e i o u ) สามารถเติม –ed ต่อท้ายได้เลย , กริยาที่มีพยางค์เดียวและมีสระ (a e i o u) เพียงตัวเดียวให้ซ้ำตัวอักษรท้ายสุดแล้วเติม –ed , กริยาที่ลงท้ายด้วยอักษร i ให้ซ้ำ i อีกตัวแล้วเติม –ed
                 : lrregular verb กริยาผันไม่ปกติ กริยาบางตัวเปลี่ยนรูปไปเลย เช่น run ran run , bay bought bought เป็นต้น หรือกริยาบางตัวกลับไม่เปลี่ยนรูปเลย ทั้ง3 ช่อง  เช่น put put put , let let let เป็นต้น เราควรใช้กริยา 3 ช่องให้ถูกต้องตรงตาม tense ของประโยค ในช่วงแรกอาจจะต้องอาศัยการจำเป็นหลัก แต่พอใช้ไปเรื่อยๆจนชินแล้วก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย
                ดังนั้นเราควรที่จะเรียนรู้กริยา 3 ช่องให้มากและมีความรู้ที่ถูกต้องและแน่นพอสมควรเพราะเรื่องกริยา3 ช่อง จำเป็นอย่างยิ่งที่ใช้ในการเรียนเรื่องของการแปลและถ้าหากเรารู้เราก็สามารถพูดกับเจ้าของภาษาได้อย่างถูกต้องตรงตามช่วงเวลาและสามารถพัฒนาในการเรียนได้ดียิ่งขึ้น



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2558

Learning Log 4
การเรียนรู้นอกชั้นเรียน
                การเรียนนอกชั้นเรียนในสัปดาห์นี้เป็นการหาความรู้เพิ่มเติมที่เราสามรถนำความรู้ที่ได้มาต่อยอดในการศึกษาและเป็นประโยชน์ต่อการเรียนวิชาการแปลซึ่งในสัปดาห์นี้เป็นการทบทวนกริยา 3 ช่อง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องtense ที่มีการเปลี่ยนรูป Verb ไปตามช่วงเวลาต่างๆ ดังนั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้เรียนภาษา จำเป็นต้องรู้และเข้าใจ Verb ในช่องต่าง และหลักการวิธีการใช้เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับการเรียนวิชาการแปล
                กริยา 3 ช่องคือคำกริยาในภาษาอังกฤษ ซึ่งแบ่งออกเป็น3 ช่อง บ่งบอกถึงเหตุการณ์ในแต่ละช่วงเวลาได้อีกด้วย,คำที่ใช้แสดงถึงอาการเหตุและช่วงเวลา คือคำพูดที่แสดงการกระทำของประธานในประโยคหรือคำที่ทำหน้าที่ช่วยverb หากประโยคขาดverb ความหมายอาจจะผิดเพี้ยนและไม่สามารถทราบเหตุการณ์อดีต หรือปัจจุบัน หรืออนาคตได้เลย เพราะเป็นประโยคที่ไม่สมบูรณ์ คำกริยาแงออกเป็น 3 ชนิด คือ 1 สหกรรมกริยา Transitive Verb คือ คำกริยาที่ต้องการกรรม ถ้าเกิดไม่มีคำอื่นเข้ามาความหมายจะไม่สมบูรณ์, 2 อกรรมกริยา Intransitive Verb คือ คำกริยาที่ไม่ต้องมีกรรม เพราะความหมายจะสมบูรณ์อยู่แล้ว
, 3.กริยาช่วย Helping verb  คือ กริยาที่มีหน้าที่ช่วยกริยาด้วยกันและยังทำให้ตัวของตัวเองมีความหมายสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
                กริยา 3 ช่อง คือ คำกริยาในภาษาอังกฤษ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ช่องบ่งบอกถึง เหตุการณ์ในแต่ละช่วงเวลาได้อีกด้วย ดังนี้ กริยาช่องที่1 คือ ปัจจุบัน, กริยาช่องที่2 คือ อดีต และกริยาช่องที่ 3 คือคำกริยาที่ใช้ใน Perfect tense ทุกชนิดและPassive voice  ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่มี tense คือมีการผันคำในประโยคตามเวลาของเหตุการณ์ที่พูดถึง แตกต่างจากภาษาไทยที่ไม่เปลี่ยนตัวกริยาหลักของประโยค แต่ใช้ลักษณะของการเพิ่มคำเข้าไปหรือเปลี่ยนคำวิเศษณ์ขยายเพียงอย่างเดียว เพื่อบอกลายละเอียดของเวลาที่เหตุการณ์ที่กล่าวถึงนั้นเกิดขึ้น verb มีการผันแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ หรือเรียกว่า กริยา3 โดยการผันรูปของกริยาช่องที่1 ไปเป็นช่อง 2และช่อง 3 แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ดังนี้ Regular verb กริยาผันด้วยการมีรูป –ed ต่อท้าย(ผันแบบปกติ):เติม –ed ท้ายกริยาช่องที่1 ,กริยาที่ลงท้าย e เติม –d ไปท้ายกริยาช่อง1 (ลงท้าย ed) ,กริยาที่ลงท้ายด้วย y ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม –ed * ยกเว้นหน้า y เป็นสระ (a e i o u ) สามารถเติม –ed ต่อท้ายได้เลย , กริยาที่มีพยางค์เดียวและมีสระ (a e i o u) เพียงตัวเดียวให้ซ้ำตัวอักษรท้ายสุดแล้วเติม –ed , กริยาที่ลงท้ายด้วยอักษร i ให้ซ้ำ i อีกตัวแล้วเติม –ed
                 : lrregular verb กริยาผันไม่ปกติ กริยาบางตัวเปลี่ยนรูปไปเลย เช่น run ran run , bay bought bought เป็นต้น หรือกริยาบางตัวกลับไม่เปลี่ยนรูปเลย ทั้ง3 ช่อง  เช่น put put put , let let let เป็นต้น เราควรใช้กริยา 3 ช่องให้ถูกต้องตรงตาม tense ของประโยค ในช่วงแรกอาจจะต้องอาศัยการจำเป็นหลัก แต่พอใช้ไปเรื่อยๆจนชินแล้วก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย
                ดังนั้นเราควรที่จะเรียนรู้กริยา 3 ช่องให้มากและมีความรู้ที่ถูกต้องและแน่นพอสมควรเพราะเรื่องกริยา3 ช่อง จำเป็นอย่างยิ่งที่ใช้ในการเรียนเรื่องของการแปลและถ้าหากเรารู้เราก็สามารถพูดกับเจ้าของภาษาได้อย่างถูกต้องตรงตามช่วงเวลาและสามารถพัฒนาในการเรียนได้ดียิ่งขึ้น



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น