Learning Log 3
การเรียนรู้ในชั้นเรียน
การเรียนภาษาอังกฤษ ตัวพื้นฐาน คือ
เรื่องไวยากรณ์ ทั้งในเรื่องวลี ประโยค,ชนิดของคำ,tense
(กาลเวลา)เป็นต้น ในสัปดาห์นี้การวิชาการแปลได้ทบทวนเนื้อหาเรื่อง tense
(กาลเวลา) ซึ่งเรื่อง Tense ถือว่ามีความสำคัญสำหรับการเรียนวิชาการแปล
ถ้าพื้นฐานแน่นแล้ว การเรียนรู้เรื่อง tense ก็จะเป็นเรื่องที่ง่ายมาก
และถ้ารู้เรื่อง tense , รู้โครงสร้าง
เวลาที่แปลก็จะแปลถูกและรู้เรื่อง ดังนั้นเราจำเป็นต้องรู้เรื่อง tense เพื่อที่จะต่อยอดในการเรียน
เรื่อง tense ก็คือ
เรื่องกาลเวลา เวลาที่เราจะพูดอะไรสักอย่างจะมีเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ
เพราะตัวเวลานี้แหละที่ทำให้โครงสร้างประโยคนี้เปลี่ยนไป tense มี 3 tense ใหญ่ๆ คือ present
, past , future นอกจากนั้นเราก็แบ่งย่อยออกมาอีก
4 tense คือ simple , continuous , perfect , perfect
continuous รวมทั้งหมดเราจะได้ 12 tense
ดังนี้
ช่วงแรก คือ Simple….present simple : s + v ,(s,es) ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นประจำ เป็นกิจวัตรประจำวัน เป็น tense
ที่คนส่วนใหญ่ใช้มากที่สุด
: Past simple : s + v2 เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและจบลงไปแล้วในอดีต
: future simple : S + will / shall + v1 เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น/คาดว่าเกิดขึ้นแน่นอน
ช่วงเวลาที่สองคือ Continuous….Present
Continuous : S + V to be + Ving ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและทำอยู่ในปัจจุบัน
:Past
Continuous : S + was/were + Ving ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและกำลังทำในอดีต
:Future Continuous : S + will + be + Ving ใช้กับเหตุการณ์ที่มีการวางแผนในอนาคตและกำลังเกิดขึ้นในอนาคต
ช่วงถัดมาคือ Perfect …. Present Perfect: S + has/have + V3 ประธานเป็นเอกพจน์ใช้ has ประธารเป็นพหูพจน์ใช้ have
ใช้กับเหตุการณ์การกระทำที่สมบูรณ์เป็นเหตุการณ์ที่ไม่ต่อเนื่อง
:Part Perfect : S + had + V3 ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและมีเหตุการณ์อีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นตามมาและจบลงไปแล้วในอดีต เหตุการณ์ที่1 Past
Perfect , เหตุการณ์ที่ 2 Past Simple
:Future Perfect : S + will + have + V3 มีการวางแผนเกิดขึ้นในอนาคต เกิดขึ้นสองเหตุการณ์ เหตุการณ์ที่ 1 Future Perfect
, เหตุการณ์ที่ 2 Present
Simple
ช่วงเวลาสุดท้าย Perfect Continuous …. Present Perfect Continuous : S+ V to have +been+Ving ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบางช่วงเวลาในอดีตและดำเนินอยู่ในขณะที่พูด
:
Past Perfect Continuous:
S + had + been + Ving จะเป็นช่วงเวลาที่เกิดขึ้นในอดีต , Future
Perfect Continuous: S + will/shall + have
+ been + Ving เป็นการเน้นความต่อเนื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเหมือนกับ Future
Perfect
ในการเรียน
tense หรือการนำ tense มาใช้ในการเรียนในแต่ละ
tense ก็มีตัวบ่งบอกเวลา ดังนี้ Present: always ,
often , sometime , usually , hardly, ,
generally , seldom , every…..,one a week เป็นต้น, Past:
yesterday , last….. , ago , recently ,
during the war เป็นต้น , Future: soon , tonight , tomorrow
, next week , next….. เป็นต้น
การเรียนภาษาเรื่อง tense ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งในการเรียนวิชาการแปล
ดังนั้นเราจึงจำเป็นที่จะต้องอ่าน ท่อง และฝึกฝนแบบฝึกหัดที่เกี่ยวกับ tense
ให้มากเพื่อที่จะได้ความรู้ที่ถูกต้องและแม่นยำที่จะนำความรู้ที่ได้มาใช้ประโยชน์ในการเรียนฝึกฝนเพื่อให้เกความชำนาญและทักษะในการเรียนภาษาอังกฤษที่ถูกต้อง
Learning
Log 3
การเรียนรู้นอกชั้นเรียน
ปัจจุบันการศึกษาในประเทศมีหลากหลายรูปแบบที่เปิดโอกาสให้ทุกคน
ทุกวัยได้ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเพื่อที่จะต่อยอดความรู้เดิมหรือพัฒนาตนเอง
หาความรู้ใหม่ๆได้หลากหลายวิธี การศึกษาจะพัฒนาตนเองเราต้องรู้จักวิธีการที่เหมาะสมกับตนเอง
มีความพร้อมทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ เปิดใจยอมรับที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียนและการที่เรามีการเตรียมความพร้อม
หาความรู้เพิ่มเติมในเรื่องที่จะเรียนมาก่อนเข้าชั้นเรียนนั้นถือเป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่ง
เพราะเราได้มีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องนั้น
นอกจากนั้นการที่เราไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเรื่องที่เรียนไปก็ทำให้เรามีความรู้มากขึ้นกว่าเดิม
การเรียนในห้องเรียนคาบนี้ดิฉัน
ได้เรียนรู้ถึงการเตรียมตัวสำหรับการเตรียมตัวในอนาคต , ระบบการเรียน Teach less , Learn more และ CEFR
ซึ่งทำให้ดิฉันได้มาหา ข้อมูลเพิ่มเติมในสัปดาห์นี้
การเป็นครูในอนาคตควรเป็นครูที่ดีและมีความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
นอกจากนั้นแล้วครูต้องมีความรู้เนื้อหาต้องมีความถูกต้องแม่นยำและมากพอที่จะถ่ายทอดความรู้ให้เด็กฟัง
วิธีการสอนควรสร้างสรรค์เรียกความสนใจกับผู้เรียนได้
การออกแบบแผนการสอนให้ตรงและเหมาะสม ตามวัตถุประสงค์ ในปัจจุบันครูยุคใหม่ถือว่ามีความสำคัญน้อยกว่า
IT เนื่องจากสื่อการเรียนการสอนหรือการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมส่วนใหญ่ใช้เทคโนโลยี
(IT) เช่นอินเตอร์เน็ตเป็นสิ่งสำคัญและมีประโยคมากสำหรับการศึกษาถ้าใช้ในทางที่ถูกและสร้างสรรค์และการเรียนการสอนในรูปแบบผสมผสาน
( blended Learing )
เป็นการเรียนรู้ที่หลากหลายสำหรับการศึกษา
Blended Learing การเรียนรู้แบบผสมผสาน
รูปแบบการเรียนรู้ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นในห้องเรียน
ผสมผสานกับการเรียนรู้นอกห้องเรียนที่ผู้เรียนผู้สอนไม่เผชิญหน้ากัน
หรือการใช้แหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย
กระบวนการเรียนรู้และกิจกรรมเกิดขึ้นจากยุทธวิธีการเรียนกาสอน ที่หลากรูปแบบ
เป้าหมายอยู่ที่การให้ผู้เรียนบรรลุเป้าหมาย การเรียนรู้เป็นสำคัญ
Blended Learning เป็นสิ่งสำคัญของการศึกษาและเทคโนโลยี , blended learning มีการใช้งานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
, เป็นการบูรณาการระหว่างการเรียนในห้องเรียนและแบบออนไลน์ ,
สามารถช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนและการใช้เวลาในชั้นเรียนได้เหมาะสม
การเรียนแบบผสมผสานเป็นการรวมกันหรือการนำสิ่งต่างๆมาผสกัน คือ
รูปแบบการเรียนการสอน รวมวิธีการเรียนการสอน และ รวมการเรียนแบบออนไลน์
ตั้งแต่อดีตปัจจุบัน และอนาคต การเรียนรู้แบบผสมผสาน โดยในอดีตนั้น
การเรียนแบบผสมผสานคือ ส่วนที่ได้มีการรวมเข้าหากันจาก 2
รูปแบบ สภาพแวดล้อมของการเรียนแบบเดิม กับการเรียนแบบออนไลน์
การเรียนการสอนแบบผสมผสาน
Blended
Learning เพื่อให้ผู้เรียนได้มีการเรียนรู้ที่หลากหลาย
และเพื่อผู้เรียนได้พัฒนาเต็มศักยภาพ เหมาะกับบริบทและสถานการณ์
การเรียนรู้และตอบสนองตามความแตกต่างระหว่างบุคคลเกิดการเรียนรู้และการเกิดทักษะ
ด้านการปฏิบัติ Practice Skill โดยใช้เทคโนโลยีมากขึ้น
“Teach
less , learn more สอนน้อยลงเรียนรู้มากขึ้น” ทุกคนสงสัยว่าทำไมถึงต้องสอนน้อย
เรียนรู้มากขึ้น
ปัจจุบันบทบาทความเป็นครูในการสอนถือว่าน้อยมากเพราะมีสื่อ มีเดีย/เทคโนโลยี
เช่น tablet Computer notebook และโทรศัพท์มือถือและอื่นๆอีกมากมาย ดังนั้น ครู
มีความจำเป็นที่ต้องปรับเปลี่ยนวิธีการเรียนการสอนเพื่อให้เข้ากับยุคสมัย
ครูต้องคำนึงถึงการออกแบบการเรียนรู้จากการตั้งคำถามเพื่อให้ผู้เรียนคิดและสืบค้นข้อมูล
ฝึกให้ผู้เรียนมีทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิต ผู้เรียนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้
แนวคิด
teach
less , learn morn (TLLM) เป็นแนวคิดการจัดการศึกษา
ของประเทศสาธารณรัฐสิงค์โปร ภายใต้วิสัยทัศน์ในการพัฒนาจัดระบบการศึกษาที่กล่าวมา Thinking
School ,Learn Nation (TSLM) ซึ่งต้องการให้เกิดการศึกษาการเปลี่ยนแปลงในระบบการศึกษาด้วยการจัดการศึกษาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ซึ่ง Thinking School
เป็นวิสัยทัศน์ที่ต้องการให้ทุกโรงเรียนจัดการศึกษาที่พัฒนาให้ผู้เรียนเป็นนักคิด ส่วน Learning Nation เป็รวิสัยทัศน์ของการเรียนรู้ที่ต้องการให้ผู้เรียนมีความรู้ที่เพิ่มมากขึ้นเกี่ยวกับนวัตกรรมและความสามารถในการสร้างสรรค์เพื่อนำไปประยุกต์
ใช้ในชีวิตจริง นอกจากนี้แนวคิด teach less , learn morn ( TLLM
)
ก็ยังมุ่งเน้นด้านความเป็นสิทธิภาพในการจัดการเรียนการสอนที่ดีขึ้นและเป็นการเตรียมความพร้อมในการใช้ชีวิตของผู้เรียนซึ่งต้องการการเปลี่ยนแปลงจากการจัดการศึกษาในเชิงปริมาณไปสู่การจัดการศึกษาเชิงคุณภาพคือต้องการเพิ่มการศึกษาในเชิงคุณภาพ
และลดการจัดการศึกษาในเชิงปริมาณซึ่งการเพิ่มการจัดการศึกษาในเชิงคุณภาพ คือ
การเพิ่มการมีปฏิสัมพันธ์ในชั้นเรียนระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน
ส่วนการลดการจัดการศึกษาในเชิงปริมาณ คือ
การลดบทบาทของครูจากครูผู้สอนเป็นเพียงผู้ชี้นำ กระตุ้นให้ผู้เรียนสร้างความรู้
การลดการเรียนรู้ โดยการท่องจำ การสอบและการหาคำตอบ
ทฤษฎีการเรียนรู้ที่สนับสนุนแนวคิด Teach Less , Learn More ได้แก่ ทฤษฎีคอนสตัคติวิสต์ Constructivist เป็นทฤษฎีที่ให้ความสำคัญกับผู้เรียน
เชื่อว่าผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ได้ด้วยตนเองจากการมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นและสิ่งแวดล้อมอย่างกระตือรือร้น
ดังนั้นในปัจจุบัน โลกเรามีความทันสมัยมากขึ้น เราทุกคนก้อควรที่จะปรับตัว
ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมที่เป็นประโยชน์แก่ตนเองและประยุกต์ใช้ในอนาคตข้างหน้าได้
และการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎี Teach Less , Learn More สามารถจัดการเรียนรู้ได้หลากหลายวิธีแต่ต้องเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
CEFR ( common Eorpean
Framework of Reference
for Languages )
กรอบมาตรฐานความสามารถทางภาษาอังกฤษ ของประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป
เป็นการกำหนดมาตรฐานความสามารถทางภาษาอังกฤษ ของประชากรของประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป
เพื่อให้โรงเรียนทุกๆโรงเรียน ในแต่ละประเทศที่เป็นชาติสมาชิกในสหภาพยุโรป ได้ออกแบบหลักสูตรและอำนวยการเรียนการสอนวิชภาษาอังกฤษ
ที่มุ่งเน้นในการพัฒนา
ทักษะการใช้ภาษาอังกฤษ ( English Proficiency ) ให้กับประชากรของตนเอง
เพื่อให้ประชากรในทุกๆประเทศของสหภาพยุโรป
สามารถใช้ภาษาอังกฤษ เป็นภาษากลาง
ในการสื่อสารแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและองค์กรความรู้ต่างๆ โดยปัจจุบัน
กรอบมาตรฐานความสามารถ ทางภาษาอังกฤษ ( CEFR )
นั้นถือว่าเป็นมาตรฐานในการพัฒนาหลักสูตรการเรียนภาษาอังกฤษ
ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกโดยกรอบมาตรฐาน CEFR ได้แบ่งออกเป็น
6 ระดับ C1 ( Mastery ) สามารถเข้าใจภาษาผ่านการฟังและการอ่านได้อย่างคล่องแคล่ว , C2
EOP ( Efficient
Opertional Proficiency ) สามารถเข้าใจความหมายที่แท้จริงในประโยคภาษาอังกฤษที่มีการซับซ้อนได้ ,
B2 ( Vantge )
สามารถเข้าใจความสำคัญของภาษาอังกฤษที่ซับซ้อนทั้งในส่วนของข้อเท็จจริงและอารมณ์ความรู้สึกของภาษาได้
, B1 ( Threshold )
สามารถเข้าใจความสำคัญของภาษาอังกฤษในโครงสร้างพื้นฐานในเรื่องที่ตนเองมีความคุ้นเคย
, A2 ( Waystage
) สามารถเข้าใจประโยคภาษาอังกฤษที่มักพบเจอบ่อยๆสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษ
เกี่ยวกับชีวิตประจำวัน , A1( Breakthrough ) สามารถเข้าใจประโยคภาษาอังกฤษที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวันได้
ในสังคมเราปัจจุบันเทคโนโลยีถือเป็นตัวสำคัญในการเรียนรู้ที่ทำให้เราได้มีการพัฒนาตนเองและเรียนรู้สิ่งใหม่
และถ้าหากเราสามารถใช้สื่อและวิธีการ ,
กระบวนการเรียนรู้ที่เหมาะสมและถูกต้อง กสามารถกระตุ้นให้นักเรียนสนใจในการศึกษามากยิ่งขึ้น
การเรียนรู้นอกชั้นเรียนถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่พิสูจน์เราในหลายๆด้าน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น